ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นทำอะไร สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ “ตั้งเป้าหมาย” ซึ่งสำหรับมือใหม่ในตลาด Forex หลายคน มักจะตั้งเป้าหมายไปที่การทำกำไร ค้นหาวิธีการที่จะทำกำไรจากการเทรด แต่นั่นใช่เป้าหมายแรกที่ดีและถูกต้องแล้วจริงหรือ?

สิ่งที่มือใหม่ต้องให้ความสำคัญและตั้งเป็นเป้าหมายแรก คือ การอยู่ให้รอดในตลาดก่อน ดังคำกล่าวของพ่อมดทางการเงิน จอร์จ โซรอส

อยู่ให้รอดก่อน แล้วค่อยทำกำไรทีหลัง

Survive first and make money afterwards.
— George Soros —

โดยเฉพาะในปีแรกของการลงทุน ควรเน้นไปที่การเรียนรู้ฝึกฝน ค้นหาสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองก่อนที่จะคิดทำกำไรจริงจัง หรือหวังรวยเร็วอย่างคำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ จำไว้ว่าไม่มีทางลัดสำหรับคนที่อย่างประสบความสำเร็จ อยากอยู่ในวงการไหนความรู้ความเชี่ยวชาญต้องแน่น ถึงจะอยู่ได้ยาว ซึ่งวันนี้เราก็ไม่ได้มาเตือนเพียงอย่างเดียว ยังมีวิธีแนะนำสำหรับเอาตัวรอดในตลาด Forex มาฝากกันด้วย

วิธีเอาตัวรอดในตลาด Forex

• มองอย่างเป็นกลาง
  ให้มองการเทรด Forex เหมือนกับการลงทุนอื่นๆ ไม่มีการทางลัดรวยเร็วใดๆ มีได้ก็มีเสีย ความรู้จะช่วยให้คุณมองสถานการณ์ตามเป็นจริง และอยู่รอดได้ในระยะยาว

• อย่าใช้อารมณ์ร่วมกับการเทรด
  จำทำการใหญ่ ใจต้องนิ่ง อย่าเชื่อคำพูดชวนเชื่อของใครง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ดูไปตามสถานการ์ สภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเทรดได้เงินเร็วภายในไม่กี่วิ ทุกคนคงจะรวยกันหมดแล้ว

• ฝึกเทรดในบัญชีเดโม่ก่อนทุกครั้ง
  อย่าเทรดตามใคร โดยที่คุณยังไม่ได้ลองฝึกเทรดผ่านบัญชีเดโม่ หากยังไม่เข้าใจอย่างดีพอ ยังตั้งค่าเองไม่เป็น อย่างเอาวิธีนั้นๆ ไปใช้เทรดบัญชีจริง ระวังจะขาดทุนมากกว่าได้กำไร

• เพิ่มความรู้อยู่เสมอ
  แม้จะเริ่มเข้าใจหรือเทรดเป็นแล้ว ก็อย่าหยุดที่จะหาความรู้ใหม่ๆ ยังมีอะไรอีกมากให้คุณได้เรียนรู้ในตลาดแห่งนี้ และความรู้เหล่านี้จะช่วยการเทรดของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย

• รู้จักบริหารจัดการอย่างมีระบบ
  ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรเงินลงทุน การบริหาความเสี่ยง รวมถึงการวางแผนการลงทุน

• ไม่ต้องกำไรมาก แต่ต่อเนื่องย่อมดีกว่า
  อย่างที่เขาพูดกันว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร เพราะฉะนั้นคุณจะต้องจัดการบริหารความโลภของคุณได้ดี เทรดได้กำไรทีละน้อย แต่ได้นานๆ ย่อมดีกว่าขาดทุนอยู่แล้ว ทำทุกขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วกำไรจะมากขึ้นเอง

• เหนื่อยก็พัก แต่อย่าท้อ
  ไม่ไหวอย่าฝืน อย่างเพิ่งคิดจะเอาคืน อยากเอาชนะตลาดให้ได้ในทันที หยุดพักให้สบายใจก่อน แล้วค่อยกลับมาสู้กันใหม่

ทำความรู้จักกับเทรดเดอร์ประเภทต่างๆ และสำรวจตัวเองกันว่าตรงกับเทรดเดอร์ประเภทไหน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ตามลักษณะของการใช้เวลาในการเทรด ได้ดังนี้

1. เทรดเดอร์ระยะสั้น

• ชอบทำกำไรเร็ว แต่ครั้งละน้อย
• เปิดปิดออเดอร์หลายครั้งต่อวัน
• ใช้กรอบเวลาการเทรด 1 และ 5 นาที
• เฝ้ากราฟ 2-3 ชั่วโมงต่อหนึ่งการเทรด
• คิดเร็ว ทำเร็ว แต่ยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามสถานการณ์
• ชอบความตื่นเต้น ใจร้อน
• ปิดการเทรดทันที หากสวนทางจากที่คิดไว้

2. เทรดเดอร์รายวัน

• ไม่ชอบเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน
• ใช้กรอบเวลาการเทรด 15 และ 30 นาที
• เปิดออเดอร์เมื่อเริ่มต้นวัน และปิดก่อนหมดวัน
• อาจจะกำไร หรือขาดทุน แต่จะไม่เปิดทิ้งไว้ ขอนอนหลับอย่างไร้กังวล
• จะมองหามองหาความเป็นไปได้ ทิศทางที่แน่นอน ตามสถานการณ์ปัจจุบัน
• บริหารจัดการง่ายขึ้น เพราะไม่มีออเดอร์ค้างอยู่ต้องเอามาคิดด้วย

3. เทรดเดอร์ระยะกลาง

• เปิดออเดอร์เกินหนึ่งวัน ถึงหนึ่งสัปดาห์
• ไม่จำเป็นต้องเทรดหลายครั้งต่อวัน
• ใช้กรอบเวลาการเทรด 1 และ 4 ชั่วโมง
• ไม่ต้องใช้วิเคราะห์วางแผนมากนัก เหมาะกับคนทำงานประจำ
• มีความระมัดระวังมากกว่าระยะสั้นและรายวัน
• ให้ความสนใจแนวโน้มระยะกลางมากกว่าความผันผวนระหว่างวัน
• ไม่ได้ติดตามข่าวสารทุกวัน มักเป็นสายเทคนิค

4. เทรดเดอร์ระยะยาว

• อาจเปิดออเดอร์นานหลายสัปดาห์ ถึงหลายเดือน
• ใช้กรอบเวลาการเทรด 1 วัน, 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน
• เข้าใจปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างดี มองเห็นช่องทางการทำไรระยะยาว
• ต้องมีบัญชีซื้อขายขนาดใหญ่ เพื่อสู้กับสภาวะแกว่งตัวของตลาด
• ใช้ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเทรดเดอร์ประเภทอื่น เนื่องจากเปิดออเดอร์น้อยกว่า
• มีประสบการณ์สูง
• รู้จักบริหารจัดการ
• มีความอดทนสูง

5. เทรดเดอร์ตามระบบ

• เน้นใช้ Robot เทรดแทน ตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้
• สร้างกลยุทธ์จากข้อมูลย้อนหลังจำนวนมาก
• ไม่จำเป็นต้องเฝ้าตลาด
• มีเวลาว่างมากกว่าเทรดเดอร์ประเภทอื่น เพราะใช้ Robot แทน
• การซื้อขายมีความยืดหยุ่น หลากหลายสกุลเงิน หลากหลายกรอบเวลาการเทรด ซึ่งจะเป็นไปตามกลยุทธ์ที่สร้าง
• อาจเขียนโค้ดสร้างกลยุทธ์ให้ Robot ได้ด้วยตัวเอง (มีขาย หรือแจกให้ใช้ฟรี แต่เราจะไม่รู้ว่าเขาสร้างจากกลยุทธ์แบบไหน ประสบความสำเร็จได้ยาก)

สรุป

การจะเริ่มเทรดในตลาด Forex ได้ คุณจะต้องเปิดบัญชีการซื้อขายก่อน แล้วคุณรู้หรือยังว่ามีบัญชีอะไรให้คุณเลือกใช้ได้บ้าง บัญชีประเภทไหนน่าสนใจ และเหมาะสมกับคุณ?

Demo Account (บัญชีทดลอง)

เป็นบัญชีที่จำลองทุกอย่างเหมือนบัญชีจริง สำหรับให้มือใหม่ใช้ฝึกฝน ทดลองการเทรดก่อนลงสนามจริง อย่างสำนวนที่ว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่สู้ลงมือทำ! ซึ่งหากขาดทุนก็ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เนื่องจากเป็นเงินเสมือนที่แพลตฟอร์มให้ไว้ใช้ แต่ถ้าได้กำไรจากการเทรดก็ถอนออกมาไม่ได้เช่นกัน

Standard Account (บัญชีมาตรฐาน)

บัญชีประเภทนี้มีขนาดสัญญาอยู่ที่ 100,000 units of base currency เป็นบัญชีทั่วไปที่เทรดเดอร์สามารถเลือกเปิดได้ แต่แนะนำว่าควรจะเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในตลาด Forex เป็นอย่างดีจึงจะเลือกบัญชีประเภทนี้ อาจเรียกว่าต้องเป็นมืออาชีพนั่นเอง

Mini Account (บัญชีมินิ)

เป็นบัญชีที่อนุญาตให้ทำการซื้อขายโดยใช้ Mini Lot โดย 1 Mini Lot เท่ากับ 10,000 units of base currency ซึ่งโบรกเกอร์มักจะเสนอบัญชีประเภทนี้เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ลังเลการซื้อขายเต็มจำนวน มีทุนน้อย และยังเหมาะกับคนที่ยังอยู่ในช่วงเรียนรู้วิธีการเทรด แต่ก็อยากมีกำไรด้วย

Micro Account (บัญชีไมโคร)

เป็นที่อาจมีการเสนอในบางโบรกเกอร์ การซื้อขายใช้เงินฝากลดลง 100 เท่า จากบัญชีมาตราฐาน โดย 1 Micro Lot เท่ากับ 1,000 units of base currency อาจเปิดบัญชีนี้ได้ด้วยเงินฝากขั้นต่ำเพียง $25 เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีเงินทุนไม่สูง แต่มีประสบการณ์ในการลงทุนจริงมาบ้าง

Cent Account (บัญชีเซ็นต์)

หรือรู้จักในอีกชื่อคือ บัญชี Nano เป็นบัญชีพิเศษที่ใช้เงินฝากลดลงถึง 1,000 เท่า จากบัญชีมาตราฐาน บัญชีนี้เหมาะเป็นบัญชีแรกสำหรับเทรดเดอร์ที่อยากจะฝึกเทรดกับของจริง เพราะใช้ทุนน้อยมาก แต่ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่ใช้เทรดได้จริง เช่น ฝากเงิน 1 USD ในบัญชี Cent จะเทียบเท่ากับการฝากเงิน $100

Managed Account (บัญชีที่มีการจัดการ)

หรือ Multi Account Manager (MAM) เป็นบัญชีที่มีผู้จัดการบัญชีคอยจัดการเงินทุนของคุณ ทำหน้าที่ตัดสินใจซื้อหรือขายแทน ให้บรรลุเป้าหมายและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่คุณได้ตั้งไว้ เช่น กำไรเท่าไร จัดการความเสี่ยงที่เท่าไร เป็นต้น โดยบัญชีประเภทนี้ สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่ บัญชีบุคคลธรรมดา และกองทุนรวม:

Copy Trading Account (บัญชีคัดลอกการซื้อขาย)

หรือ Social Trading เป็นบริการของระบบแพลตฟอร์มที่มีการจัดอันดับเทรดเดอร์มืออาชีพให้คุณได้เลือกเทรดเดอร์ที่คุณสนใจ และทำการคัดลอกตำแหน่ง หรือก็คือเทรดตามนั่นเอง โดยคุณยังมีสิทธิ์เต็มที่ในการเป็นผู้ควบคุมจัดการบัญชีของตนเอง

กลไกของตลาดทั่วไป ผู้ซื้อและผู้ขายจะมารวมตัวกันในที่เดียว เพื่อทำการซื้อหรือขาย แต่สำหรับตลาด Forex นั้นจะต่างออกไป คนไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกันที่ศูนย์กลาง เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงมาก แต่ละโบรกเกอร์พร้อมจะให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดกับคุณ นอกจากนั้นยังทำการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตทั้งหมด

ด้วยความหลากหลายนี้เอง ทำให้สามารถแบ่งระดับชั้นและจัดกลุ่มประเภทของผู้เล่นในตลาด Forex ได้ ดังนี้

• Banks

กลุ่มธนาคารถือได้ว่าเป็นผู้เล่นหลักของตลาด Forex ประกอบไปด้วยธนาคารขนาดใหญ่ (Major Banks) กับ ธนาคารขนาดกลางและเล็ก (Medium-sized and Small Banks) ซึ่งจะมีระบบการส่งคำสั่งซื้อขายระหว่างกันโดยตรง เกิดเป็นตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) หรืออาจทำธุรกรรมผ่านนายหน้า EBS

การดำเนินงานของธนาคารขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น HSBC, Citigroup, RBS, Deutsche Bank, BNP Paribas, Barclays Bank ได้กลายเป็นตัวกำหนดอัตรา FX เลยทีเดียว

• Electronic Broking Services (EBS)

EBS หรือ บริการนายหน้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์แบบขายส่ง มีการแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งของตลาดระหว่างสองบริษัท คือ EBS และ Reuters

• Non-bank Providers

ต่อมาจะเป็นกลุ่มของผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร มีการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยหลากหลายวัตถุประสงค์
เช่น ลดความเสี่ยงของการลงทุน, ลดความเสี่ยงของการซื้อขายสินค้าบริการ, ใช้เงินเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศ

ตัวอย่างผู้บริการ เช่น

– ผู้ทำการตลาดค้าปลีก (Retail market markers)
– โบรกเกอร์ (Broker)
– ECNs
– กองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge funds)
– บริษัทต่างๆ

• Retail Traders

กลุ่มสุดท้ายนี้มีจำนวนมากที่สุดในตลาด จะหมายถึงทั้ง โบรกเกอร์รายย่อย และเทรดเดอร์แบบเราๆ โดยจุดประสงค์หลักของเทรดเดอร์กลุ่มนี้ จะเน้นไปที่การเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ซึ่งการที่รายย่อยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตลาด Forex ขนาดใหญ่แบบนี้ได้ ต้องขอบคุณความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตได้นั่นเอง

สำหรับนักลงทุนทางด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทไหน ต้องเคยได้ยิน ได้เห็นคำว่า ตลาดกระทิง หรือตลาดหมี ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสองตลาดนี้กันให้มากยิ่งขึ้น

การเทรด Forex สามารถเข้าทำกำไรได้ทั้ง ตลาดกระทิง และ ตลาดหมี

ตลาดกระทิง (Bull Market)

คือ สภาวะที่ตลาดมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น (Up Trend) แบบชันขึ้นมากกว่า 45 องศา เป็นช่วงที่ตลาดกำลังมีราคาสูงขึ้น เสมือนลักษณะการต่อสู้ของกระทิงที่ใช้เขาขวิดขึ้น

และหากเราต้องการทำกำไรกับตลาดกระทิง ให้เปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order)

ตลาดหมี (Bear Market)

คือ สภาวะที่ตลาดมีแนวโน้มขาลง (Down Trend) แบบชันลงมากกว่า 45 องศา เป็นตลาดที่ตรงข้ามกับตลาดกระทิง โดยตั้งชื่อตามท่าทางต่อสู้ของหมีที่ใช้อุ้งเท้าตะปบลง

หากต้องการเทรดทำกำไรในตลาดหมี ให้เปิดคำสั่งขาย (Sell Order)

สภาวะที่ตลาดมีแนวโน้มการปรับตัวขึ้นหรือลง ไม่ชัดเจน เรียกว่า ตลาดไซด์เวย์ (Sideways Market)

ตอนนี้ทุกคนก็น่าจะรู้จักกับทั้งสองตลาดมากขึ้น และพร้อมจะเข้าเทรดทำกำไร ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไรกันแล้ว แต่อย่าลืมว่า คุณจะต้องจับสัญญาณให้ได้ก่อนตลาดนั้นๆ จะเกิดขึ้นด้วยนะ

จากข่าวคราวที่ไม่ค่อยดีนักของ Forex ในไทย ทำให้หลายคนเข้าใจผิดหรือคิดฝังใจไปแล้วว่าการเทรด Forex นั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่นั่นไม่ใช่เลย ที่เราเห็นเป็นเพียงกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพ ที่ใช้จุดอ่อนของ Forex เป็นช่องว่างในการฉ้อโกงเท่านั้น

เทรดเดอร์ไทย เทรด Forex ได้ไหม?

ว่ากันตามกฎหมายแล้ว ไม่ได้มีข้อห้ามให้บุคคลทั่วไปเทรด Forex เพื่อเก็งกำไร หรือก็คือ

เทรด Forex กับโบรกเกอร์ต่างประเทศได้ ไม่ผิดกฎหมาย

อ้าว แล้วเทรดกับโบรกเกอร์ไทยไม่ได้หรอ?

สำหรับกฎหมายไทย ยังไม่เคยอนุญาตให้ใครกระทำการในลักษณะนี้ ก็คือในไทยจะยังไม่มีกฎหมายรองรับการเทรด Forex นั่นเอง ส่วนใหญ่ที่เราคุ้นเคยจะเป็นโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนอยู่ต่างประเทศ แต่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย และมีคนไทยดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า

ซึ่ง ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ระบุไว้ดังนี้

ประชาชนจะต้องทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น และปัจจุบัน  ยังไม่เคยให้ใบอนุญาตแก่บุคคลทั่วไป ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรในลักษณะการเทรด FOREX บนแพล็ตฟอร์ม หรือเว็บไซต์ (พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช 2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม)

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย

ข้อควรระวัง

จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่ากฎหมายไทยยังไม่รองรับ จึงทำให้เกิดข้อควรระวังสำหรับเทรดเดอร์ ในการเทรด Forex

ประเด็นที่ 1

• หากมีความเสียหายเกิดขึ้นหรือโดนฉ้อโกงจากการกระทำของโบรกเกอร์ เทรดเดอร์จะต้องรับความเสียหายในส่วนนี้เอง และถ้าต้องการฟ้องร้องจะต้องไปดำเนินการเองที่ต่างประเทศ กับหน่วยงานที่จดทะเบียนของโบรกเกอร์
• แต่จากสถิติของโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้มาตราฐาน จะจดทะเบียนกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลที่เข้มงวด จึงแทบไม่พบการทุจริตของโบกเกอร์

ประเด็นที่ 2

• ระวังตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างเป็นตัวกลางในการเทรดระหว่างโบรกเกอร์ต่างประเทศให้ โดยอ้างให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ไม่ได้นำไปลงทุนในตลาด Forex ที่ต่างประเทศจริง

คืออะไร

IB ย่อมาจาก Introducing Broker ซึ่งก็คือ ผู้แนะนำโบรกเกอร์

ทำหน้าที่อะไร

มีหน้าที่แนะนำและชักชวนคนให้มาเปิดบัญชีเทรดกับโบรกเกอร์ ภายใต้ลิงก์แนะนำของตนเอง ถ้าให้เปรียบกับอาชีพอื่น คงจะเปรียบได้กับนายหน้าขายประกันนั่นเอง

แต่เดี๋ยวก่อนสำหรับ IB Forex แล้ว ไม่ได้เพียงแต่เข้าไปแนะนำชักชวนด้วยการพูดคุยแบบทั่วๆ ไปแค่นั้น วิธีการที่ IB Forex ใช้จะเป็นในรูปแบบของการให้ความรู้ เปิดอบรม สอนเทรด สอนเทคนิคต่างๆ ที่เรียกได้ว่าเทรดเดอร์ได้รับประโยชน์อย่างมาก เพราะหากเทรดกับโบรกเกอร์เองโดยตรง ก็จะไม่ได้รับในส่วนนี้

ได้อะไรจากการแนะนำ

เมื่อ IB Forex ชักชวนคนมาเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ได้ ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากรายได้จาก Spread ที่เทรดเดอร์ทำการซื้อขาย อาจได้รับตั้งแต่ 20% – 50% ขึ้นอยู่กับแต่ละโบรกเกอร์, อาจจะได้รับเป็นจำนวน Lot หรืออาจจะได้รับเป็นค่าส่วนลดต่างๆ แทน

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหรียญมีสองด้านเสมอ IB Forex ก็เช่นกัน เราต้องเลือกสรร IB Forex ที่ดีมาช่วยแนะนำเรา เพราะหากเจอคนไม่ดีแล้ว เขาอาจจะแนะนำให้เราเปิดออเดอร์ซื้อขายที่มากเกินจำเป็น ไม่เหมาะสมกับตัวเรา และจะกลายเป็นผลเสียไปในที่สุด

Leverage (เลเวอเรจ) หรือที่บางคนเรียกว่า Margin Trading คือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุน โดยเทรดเดอร์สามารถขอยืมเงินส่วนหนึ่งจากโบรกเกอร์ มาเปิดออเดอร์ที่ต้องใช้เงินทุนมากกว่าที่เรามีอยู่จริงได้

Leverage ที่เราใช้กัน จะอยู่ในรูปแบบของอัตราส่วน

เงินหลักประกันที่ต้องวาง (Margin) : มูลค่าสินทรัพย์

ซึ่งเทรดเดอร์สามารถเลือกได้เองว่าต้องการใช้อัตราส่วนเท่าไร โดยมีให้เลือกตั้งแต่ 1 : 1 จนถึงสูงสุดที่ 1 : 1000 ในบางโบรกเกอร์

ตัวอย่าง

ถ้าเลือก Leverage 1 : 1
เท่ากับ ไม่ใช้เลเวอเรจ เช่น มีเงิน 1 USD ก็เปิดออเดอร์ได้แค่ 1 USD

แต่ถ้าเลือก Leverage 1 : 2
มีเงินวางประกันไว้เท่าเดิม 1 USD แต่เปิดออเดอร์ได้มากสุด 2 USD

หรือเลือก Leverage 1 : 1000
มีเงินวาง 2 USD เท่ากับเปิดออเดอร์ได้สูงสุดถึง 2,000 USD เลยทีเดียว

จากตัวอย่างจะเห็นว่า Leverage เป็นตัวช่วยที่สร้างโอกาสให้เราทำกำไรได้สูงมากขึ้น แม้จะมีเงินทุนน้อยก็ตาม แต่ในทางกลับกัน ก็ต้องระวังในเรื่องของโอกาสขาดทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นควรตั้งค่า Stop Loss ไว้ด้วยทุกครั้ง

Margin

คือ เงินที่โบรกเกอร์หักจากบัญชีเทรดไว้ใช้เป็นหลักประกันในการเปิดออเดอร์ซื้อขาย และจะได้รับคืนเมื่อปิดออเดอร์

Used Margin

คือ เงินประกันที่ถูกนำไปใช้เปิดออเดอร์แล้ว เงินจำนวนนี้จะถูกคืนกลับเป็น Free Margin เมื่อปิดออเดอร์

Free Margin

หรือที่บางคนเรียกว่า Available Margin คือ เงินประกันคงเหลือ ที่ใช้สำหรับการเปิดออเดอร์เพิ่ม หรือใช้เป็นเงินสำรองเมื่อเกิดการขาดทุน

Margin Call

คือ การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ เมื่อขนาดของ Equity ลดลงถึงระดับความเสี่ยงที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งเทรดเดอร์จะต้องเข้ามาฝากเงินเพิ่ม หรือปิดออเดอร์ แต่หากเทรดเดอร์ยังไม่ดำเนินการใดๆ จนถึงระดับ Margin Level ที่โบรกเกอร์กำหนด ส่วนใหญ่กำหนดไว้ที่ ต่ำกว่า 50% โบรกเกอร์จะทำการปิดออเดอร์ให้เอง

Margin Level

คือ ระดับความปลอดภัยของพอร์ต เกิดจากการคำนวณระหว่างอัตราส่วนของ Margin กับ Equity มีหน่วยเป็น % รู้จักกันในอีกชื่อว่า %Margin ยิ่งสูงยิ่งดี เช่น

1000% แสดงว่าพอร์ตปลอดภัย
ใกล้ 100% เท่ากับ Margin เกือบหมด
หากต่ำกว่า 100% จะเปิดออเดอร์เพิ่มไม่ได้ เข้าสู่ระดับของ Margin Call

ข้อดีของ Margin

• ช่วยเปิดโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
• มีเงินทุนน้อยก็เทรดได้
• ซื้อขายในปริมาณมากได้ แม้ไม่มีเงินทุนเท่าจำนวนจริง
• ทำกำไรได้มากขึ้นในช่วงตลาดผันผวนน้อย ที่ต้องอาศัยเปิดหลายออเดอร์พร้อมกัน
• ช่วยให้เปิดออเดอร์ได้รวดเร็วและต่อเนื่อง

ข้อเสียของ Margin

• อาจขาดทุนได้มากขึ้น (ได้กำไรมาก ก็ขาดทุนได้มาก)

Lot คืออะไร

Lot คือ หน่วยของขนาดสัญญาซื้อขาย เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการเทรด Forex หรือผลิตภัณฑ์ที่เทรดโดยใช้สัญญา CFD เช่น ทองคำ น้ำมัน สกุลเงินดิจิตอล หุ้นรายบริษัท

Lot จะมีค่าแตกต่างกันไปในแต่ละผลิตภัณฑ์

ตัวอย่าง 1 Standard Lot
ใน Forex มีค่า 100,000 หน่วย
แต่ในตลาดทองคำ มีค่า 100 oz

Lot เป็นคำเรียกสั้นๆ ของ Lot Size

ประเภทของ Lot

Lot ของ Forex แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามขนาดสัญญา (Contact Size) ดังนี้

วิธีดูว่าบัญชีของเราใช้ Lot ประเภทไหนอยู่ให้ดูที่ Contact Size

ตารางผลกำไร/ขาดทุน

ประโยชน์ของ Lot

• เลือกเทรดปริมาณน้อยได้
• เงินทุนน้อย ก็เทรดได้
• ลดความเสี่ยงขาดทุน (เลือก Lot ขั้นต่ำสุด 0.01 ได้)