สิ่งที่ต้องรู้ เพื่อเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่ใช่
การลงทุนในตลาด Forex คุณจะต้องดำเนินการผ่านโบรกเกอร์เท่านั้น ไม่สามารถเทรดกับตลาดโดยตรงได้ เพราะฉะนั้นเหล่าเทรดเดอร์จะต้องเลือกโบรกเกอร์ให้ดี ซึ่งการที่จะเลือกได้นั้น จะต้องรู้สิ่งเหล่านี้ก่อน
ประเภทบัญชี
ดูว่าแต่ละโบรกเกอร์มีบัญชีแบบไหนน่าสนใจ และเหมาะสมกับสไตล์ลงทุนของคุณ โดยทั่วไปจะต่างกันที่มูลค่าของบัญชี เช่น บัญชีแบบ Standard, Mini, Micro เป็นต้น
ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์
ก่อนจะเลือกว่าจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไหน ควรตรวจสอบ พร้อมเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของแต่ละโบรกเกอร์ โดยสามารถดูได้จาก
- ประเภทโบรกเกอร์ : โบรกเกอร์แบ่งได้ 2 ประเภทหลัก คือ
- Dealing Desk (DD) : รับออเดอร์มาจับคู่เองภายใน ไม่ส่งคำสั่งไปที่ตลาด แต่ค่าบริการถูก
- Non-Dealing Desk (NDD) : เป็นเพียงตัวกลาง รับออเดอร์ ส่งตรงไปยังตลาด มีค่าบริการสูงกว่า แต่น่าเชื่อถือกว่า
- หน่วยงานกำกับดูแล : เช็คอันดับความน่าเชื่อถือและกฎการทำงานของหน่วยงานว่ามีความเข้มงวดมากน้อยเพียงใด และตรวจสอบใบอนุญาต (License) ที่โบรกเกอร์ได้รับว่ามีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง หน่วยงานกำกับดูแลที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น FCA, ASIC, CySEC, NFA
บัญชีเงินลงทุนแยกออกชัดเจน
โบรกเกอร์ที่มีการจดทะเบียนและทำตามกฎเกณฑ์ถูกต้อง จะต้องแยกบัญชีลงทุนออกจากบัญชีของบริษัทอย่างชัดเจน ไว้กับธนาคารของประเทศที่มีกฎหมายการเงินที่มั่นคง และสามารถเปิดเผยเลขบัญชีให้ลูกค้าทราบได้ เพื่อป้องกันการนำเงินไปใช้ในทางที่ผิด
ค่าธรรมเนียม
เทรดเดอร์ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียม รวมถึงค่าบริการต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อนการตัดสินใจ เนื่องจากอาจะแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ และค่าธรรมเนียมบางอย่างคุณอาจจะใช้บ่อย หรือไม่ได้ใช้เลย ก็ไม่ควรจะต้องเสียประโยชน์ไปในส่วนนี้ ตัวอย่างค่าธรรมเนียมที่น่าจะใน เช่น
- ค่า Spread : แต่ละโบรกเกอร์จะมีค่า Spread หรือค่าส่วนต่างของราคา Bid, Ask ไม่เท่ากัน ซึ่งค่า Spread ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลัก ที่ต้องใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกโบรกเกอร์เลยทีเดียว เพราะเป็นค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่ายทุกครั้งเมื่อมีการปิดออเดอร์ ทั้งออเดอร์ Buy และ Sell
- ค่า Swap Fees : หากมีการถือออเดอร์ข้ามคืน จะต้องให้ความสำคัญกับค่า Swap Fees เนื่องจากโบรกเกอร์จะทำการเลื่อนวันทำรายการคำสั่งเป็นวันปัจจุบัน (Rollover) ให้คุณอัตโนมัติ ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมในส่วนนี้เกิดขึ้น เทรดเดอร์จึงควรเลือกว่าต้องการเปิดบัญชีแบบมีค่า Swap Fees หรือไม่ ซึ่งอาจจะมีให้เลือกในบางโบรกเกอร์เท่านั้น
- บัญชีคิดค่า Swap : เหมาะกับเทรดเดอร์ระยะกลาง หรือยาว เพราะไม่ต้องเสียค่า Swap สำหรับการถือข้ามคืน
- บัญชี Swap Free (ไม่คิดค่า Swap) : เหมาะกับเทรดเดอร์ระยะสั้น หรือรายวัน เพราะค่าธรรมเนียมการเทรดแต่ละครั้งจะมีค่า Commission ที่ถูกกว่า และคุณไม่ได้จะถือข้ามคืนอยู่แล้ว
เครื่องมือสำหรับการเทรด
แต่ละโบรกเกอร์จะมีเครื่องมือให้คุณเลือกใช้สำหรับการเทรดอย่างหลากหลาย แต่ที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่ที่ ได้แก่ MetaTrader4 (MT4), MetaTrader5 (MT5), cTrader, WebTrader เป็นต้น ซึ่งใช้ได้ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ เทรดเดอร์ควรศึกษาและเลือกใช้ให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณ เช่น
- MT4 เหมาะกับการลงทุน Forex และทองคำ
- MT5 เหมาะกับเทรดเดอร์ที่สนใจสินค้าหลากหลาย ที่นอกเหนือจาก Forex เช่น หุ้น, ฟิวเจอร์, ดัชนีรวม
การช่วยเหลือและบริการลูกค้า
อีกสิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ การบริการและการให้ความช่วยเหลือจากโบรกเกอร์ ควรศึกษาและสอบถามโบรกเกอร์ถึงการบริการในส่วนนี้ เผื่อไว้สำหรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า ซึ่งในแต่ละโบรกเกอร์ก็จะมีเงื่อนไขแต่ต่างกันไป เช่น เวลาทำการ 24 ชั่วโมงไหม, ช่องทางการฝาก-ถอน มีที่คุณสะดวกหรือต้องการไหม, การแนะนำช่วยเหลือในเรื่องระบบการซื้อขาย เป็นต้น